แมคโอเอสรุ่นดั้งเดิม
| ผู้พัฒนา | แอปเปิลคอมพิวเตอร์ | 
|---|---|
| ตระกูลระบบปฏิบัติการ | แมคอินทอช | 
| สถานะการทำงาน | รุ่นดั้งเดิม หยุดสนับสนุนแล้ว | 
| รหัสต้นฉบับ | ปิดต้นฉบับ | 
| วันที่เปิดตัว | 24 มกราคม 1984[1][2] | 
| รุ่นสุดท้าย | 9.2.2 / 5 ธันวาคม 2001[3] | 
| กลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด  | คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล | 
| แพลตฟอร์ม | |
| ชนิดเคอร์เนล | โมโนลิทิกสำหรับ 68 เค และนาโนเคอร์เนลสำหรับเพาเวอร์พีซี | 
| ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ปริยาย | กราฟิก | 
| สัญญาอนุญาต | ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์และซอฟต์แวร์จำกัดสิทธิ์ | 
| รุ่นถัดไป | แมคโอเอสเท็น | 
| สถานะการสนับสนุน | |
| รุ่นดั้งเดิม ยุติการสนับสนุนเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 | |
แมคโอเอสรุ่นดั้งเดิม (อังกฤษ: Classic Mac OS) เดิมมีชื่อว่า ซิสเต็มซอฟต์แวร์ (อังกฤษ: System Software) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตระกูลแมคอินทอช โดยบริษัทแอปเปิลตั้งแต่ ค.ศ. 1984 จนถึง ค.ศ. 2001 เริ่มจากซิสเต็ม 1 จนถึงแมคโอเอส 9 ระบบปฏิบัติการแมคอินทอชได้รับการยกย่องว่าช่วยทำให้แนวคิดของส่วนติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิกเป็นที่นิยม[4] ซอฟต์แวร์นี้มาพร้อมกับแมคอินทอชทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในช่วงเวลาที่พัฒนา และหลายการอัปเดตของระบบก็มักทำควบคู่ไปกับการเปิดตัวแมคอินทอชรุ่นใหม่ ๆ
แอปเปิลเปิดตัวแมคอินทอชรุ่นแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1984 ระบบซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ซึ่งยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการนั้น มีพื้นฐานบางส่วนมาจากลิซาโอเอส ซึ่งแอปเปิลเคยพัฒนาสำหรับคอมพิวเตอร์ลิซาในปี ค.ศ. 1983 ภายใต้ข้อตกลงที่อนุญาตให้ซีร็อกซ์ซื้อหุ้นของแอปเปิลในราคาพิเศษ บริษัทยังได้นำแนวคิดจากคอมพิวเตอร์ซีร็อกซ์ พาร์ก อัลโต ซึ่งสตีฟ จอบส์ อดีตซีอีโอของแอปเปิล และสมาชิกทีมลิซาคนอื่น ๆ เคยได้ชมตัวอย่างมาก่อน[1] ระบบปฏิบัติการนี้ประกอบด้วยแมคอินทอชทูลบ็อกซ์รอม (Macintosh Toolbox ROM) และ “โฟลเดอร์ระบบ” (System Folder) ซึ่งเป็นชุดไฟล์ที่โหลดจากดิสก์ ชื่อ แมคอินทอชซิสเต็มซอฟต์แวร์ (Macintosh System Software) เริ่มถูกใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1987 กับซิสเต็ม 5 ต่อมา แอปเปิลได้ปรับชื่อระบบเป็น แมคโอเอส (Mac OS) ในปี ค.ศ. 1996 โดยเริ่มอย่างเป็นทางการกับเวอร์ชัน 7.6 ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการแมคอินทอชโคลน[5] อย่างไรก็ตาม โครงการนี้สิ้นสุดลงหลังจากการเปิดตัวแมคโอเอส 8 ในปี ค.ศ. 1997[6] และเวอร์ชันหลักสุดท้ายของระบบคือแมคโอเอส 9 ซึ่งออกในปี ค.ศ. 1999[7]
ซิสเต็มซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ๆ ทำงานได้เพียงทีละหนึ่งแอปพลิเคชันเท่านั้น แต่เมื่อแมคอินทอช 512 เค ออกมา ได้มีการพัฒนาส่วนขยายระบบที่เรียกว่า สวิตเชอร์ (Switcher) เพื่อใช้หน่วยความจำเพิ่มเติมทำให้สามารถโหลดโปรแกรมหลายตัวพร้อมกันได้ โปรแกรมแต่ละตัวที่ถูกโหลดจะสงวนหน่วยความจำไว้เฉพาะของตัวเอง และจะปรากฏบนหน้าจอเฉพาะเมื่อถูกเปิดผ่านสวิตเชอร์ แม้แต่เดสก์ท็อปของไฟน์เดอร์ (Finder) ก็เช่นกัน นอกจากนี้ สวิตเชอร์ยังนำฟีเจอร์ที่คุ้นเคยในปัจจุบันอย่าง คลิปบอร์ด (Clipboard) มาใช้ ทำให้สามารถคัดลอกและวางข้อมูลระหว่างโปรแกรมที่โหลดไว้ได้ แม้จะสลับโปรแกรมหรือกลับไปที่เดสก์ท็อปก็ตาม
เมื่อมีการเปิดตัวซิสเต็ม 5 มีการเพิ่มส่วนขยายที่รองรับมัลติทาสกิงแบบทำงานร่วมกันที่เรียกว่า มัลติไฟน์เดอร์ (MultiFinder) ซึ่งช่วยให้เนื้อหาในหน้าต่างของแต่ละโปรแกรมคงอยู่ในหน้าต่างซ้อนกันเหนือเดสก์ท็อป ต่อมาฟีเจอร์นี้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซิสเต็ม 7 พร้อมกับการรองรับหน่วยความจำเสมือน อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 ระบบปฏิบัติการสมัยใหม่อื่น ๆ เช่น วินโดวส์เอ็นที โอเอส/2 เน็กซ์สเตป บีเอสดี และลีนุกซ์ ต่างมีคุณสมบัติขั้นสูงอย่างมัลติทาสกิงแบบแย่งชิงสิทธิ (pre-emptive multitasking) การป้องกันหน่วยความจำ การควบคุมการเข้าถึง และการรองรับผู้ใช้หลายคนบนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ในขณะเดียวกัน การจัดการหน่วยความจำของแมคอินทอชที่มีข้อจำกัด และความขัดแย้งที่เกิดจากส่วนขยายต่าง ๆ เช่น ระบบเครือข่ายหรือการรองรับอุปกรณ์เฉพาะ[8] กลายเป็นสาเหตุให้ระบบปฏิบัติการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิลลดลงในช่วงเวลานั้น
หลังจากความพยายามล้มเหลวสองครั้งในการสร้างระบบปฏิบัติการต่อยอดจากแมคอินทอชซิสเต็มซอฟต์แวร์ ได้แก่ แทลิเจนต์ (Taligent) และ คอปแลนด์ (Copland) รวมถึงความพยายามพัฒนานานสี่ปีภายใต้การนำของ สตีฟ จอบส์ หลังจากกลับมาที่แอปเปิลในปี ค.ศ. 1997 แอปเปิลจึงแทนที่แมคโอเอสด้วยระบบปฏิบัติการใหม่ในปี ค.ศ. 2001 ที่ชื่อแมคโอเอสเท็น ระบบใหม่นี้ยังคงรูปแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ส่วนใหญ่จากแมคโอเอสรุ่นดั้งเดิม และมีการทับซ้อนบางส่วนของเฟรมเวิร์กสำหรับแอปพลิเคชันเพื่อความเข้ากันได้ แต่โดยรวมแล้ว ระบบปฏิบัติการทั้งสองมีต้นกำเนิดและสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การอัปเดตครั้งสุดท้ายของแมคโอเอส 9 ในปี ค.ศ. 2001 มีขึ้นเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับแมคโอเอสเท็น คำว่า “คลาสสิก” ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นชื่อเรียกรวมสำหรับแมคโอเอสรุ่นดั้งเดิมทั้งหมด มาจาก คลาสสิกเอนไวรอนเมนต์ (Classic Environment) ซึ่งเป็นเลเยอร์ความเข้ากันได้ที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่แมคโอเอสเท็น (หรือที่ปัจจุบันเรียกว่าแมคโอเอส) เป็นไปอย่างราบรื่น[9]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 Linzmayer, Owen W. (2004). Apple Confidential 2.0. No Starch Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 13, 2016. สืบค้นเมื่อ September 23, 2016.
 - ↑ "The Macintosh Product Introduction Plan". Stanford University Libraries & Academic Information Resources. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 21, 2010.
 - ↑ "Mac OS 9.2.2 Document and Software". Apple Computer. December 5, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2006. สืบค้นเมื่อ September 25, 2016.
 - ↑ Morgenstern, David. "Useful command line tips for programmers and Mac managers". ZDNet. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 28, 2020. สืบค้นเมื่อ October 13, 2019.
 - ↑ "Macintosh: System Software Version History". Apple Computer. August 7, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 10, 2014. สืบค้นเมื่อ September 25, 2016.
 - ↑ Gruman, Galen (November 1997). "Why Apple Pulled the Plug". Macworld. Vol. 14 no. 11. pp. 31–36.
 - ↑ "October 23, 1999: Mac OS 9 Released". AppleMatters.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 28, 2009. สืบค้นเมื่อ November 28, 2009.
 - ↑ Hertzfeld, Andy, folklore.org: The Original Macintosh: Mea Culpa, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 19, 2010, สืบค้นเมื่อ May 10, 2010
 - ↑ "A Brief History of the Classic Mac OS – Low End Mac". 2012-07-26. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 5, 2016. สืบค้นเมื่อ September 23, 2016.